ตอนที่ ๒...
เชื่อไหมว่า… .รักแท้มีจริง
ผู้หญิงคนหนึ่งอย่าง เดือนส่อง กลับไม่เคยเชื่อเช่นนั้น


            
            " แกคิดว่าสักวันหนึ่งแกจะได้เจอคนที่ดีกว่าตาธงไทงั้นสิ "
            คำพูดนี้ ออกมาจากปากมารดา ขณะนี้เดือนส่องและพ่อ ร่วมโต๊ะอาหารอยู่ด้วย หลังจากสิ้นสุดประโยคคำถามนั้น เดือนส่องก็ยังคงนิ่งเงียบ ตักอาหารใส่ปากต่อไป แต่ทว่าลิ้นไม่รับรู้รสชาติของอาหารไปเสียเฉยๆ หล่อนเหลือบมองสีหน้าของพ่อ พ่อก็เงียบไปเหมือนกัน แต่สายตาของพ่อบอกชัดเจนว่าไม่พึงใจ
            " ชั้นว่าแกคงจะหาดีกว่านี้ไม่ได้หรอก เขาดีออกอย่างนี้ แกต้องเป็นโรคผิดปกติอะไรสักอย่างแน่ ถึงได้ทำอะไรแหกคอกอย่างนี้ "
            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกร่อยไปสนิท ทั้งที่เดือนส่องตั้งใจกับการมาทานอาหารร่วมกับครอบครัวเพราะอยากได้ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจจากบุคคลอันเป็นที่รักสูงสุดในชีวิตมากที่สุด มันน่าจะทำให้หล่อนมีกำลังใจจะเดินต่อไปท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย แต่สุดท้ายที่ที่หล่อนหวังพึ่งพิงทางใจกลับเป็นที่ที่บั่นทอนจิตใจอย่างที่สุด
            หล่อนรู้มาตลอดว่าพ่อและแม่ไม่มีทางเห็นด้วยกับการแยกทาง ทั้งสองพยามยามให้เดือนส่องและธงไทปรับความเข้าใจกัน ...ถึงแม้จะไม่เป็นผลสำเร็จ... ครอบครัวหล่อนก็พยายามต่อไปที่จะกดดันหล่อน โดยการยกเรื่องการเสียหน้าของพ่อ-แม่ ที่มีลูกสาวเป็นม่ายตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้
            เพราะหล่อนเป็นลูกคนโตที่ถูกคาดหวังจากครอบครัวมาโดยตลอด เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว เป็นเครี่องหมายแห่งความสมหวังที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการ มากกว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งความอับอาย...เฉกนี้
            ใยหล่อนจะต้องทำตัวเพื่อให้คนอื่นมีความสุข ในเมื่อตัวเองต้องหมดสุขหากทำตามใจคนเหล่านั้นด้วยเล่า? ... แต่ทุกอย่างมันไม่ง่ายเลย,เพราะคำว่าคนอื่นนั้น ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน กลับกลายเป็นบิดามารดาผู้มีพระคุณที่เดือนส่องเอาใจใส่ในความรู้สึกของท่านมากเป็นอันดับหนึ่ง
            ใครเล่าจะอยากเป็นอย่างนี้...ใครเล่าจะอยากล้มเหลวในชีวิตคู่ เดือนส่องคิด
            " เดือนก็บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วนี่ ว่าเพราะอะไรถึงอยู่กันไม่ได้ "
            " แกอย่ามาพูดดีกว่า เห็นคบหากันมาจะสิบปีแล้ว อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาขอเลิกกับเขา บอกว่าไม่เข้าใจกัน อยู่กันไม่ได้ ไม่มีความสุข ชั้นไม่เห็นจะเข้าใจ "
            " ก็ที่ผ่านมาเดือนต้องทนมาตลอดน่ะสิแม่ " หล่อนจะอารมณ์ขึ้นเหมือนกัน " เดือนคิดว่าถ้าขืนทนต่อไปนานกว่านี้ เดือนจะต้องทนไปตลอดชีวิต "
            " อย่างกับแกดี หรือสมบูรณ์นักหนาแหละ ถึงหวังว่าจะมีคนต่อไปที่ดีกว่านี้น่ะ ฮึ " พ่อพูดขึ้นมาบ้างเป็นประโยคแรก ช่างเป็นประโยคที่มีความหมายร้ายกาจเสียจริง เดือนส่องน้ำตารื้นๆขึ้นมา แต่หล่อนคิดว่าจะต้องอดทน...อดกลั้น... เก็บน้ำตาไว้ร้องเวลาอยู่คนเดียว ดีกว่าปล่อยออกมาให้ใครอื่นได้เห็น
            " พ่อขอบอกแกไว้ตรงนี้เลยนะ พ่อรับไม่ได้ที่แกจะมีคนถัดไป รอให้พ่อตายซะก่อนแกค่อยมีคนใหม่เถอะ เชื่อได้เลยเหอะว่าแกจะไม่มีวันมีความสุข ผู้ชายที่ไหนเขาจะยอมรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมาเป็นเมียน่ะ ฮึ แกจะต้องมีอีกสักกี่คนถึงจะได้อย่างใจล่ะ "
            สิ้นคำประกาศของพ่อ เดือนส่องลุกขึ้นยืน เพ่งมองมายังบุพการีทั้งสอง
    ...พ่อจ๋า แม่จ๋า เดือนขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวัง
    คำพูดนี้ดังอยู่เพียงในใจ และแม้ว่าน้ำตาไม่ได้ไหลออกมาในขณะนั้น มันกลับไหลย้อนสู้ห้วงภายใน เดือนส่องจึงได้รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว ที่นี่คือ " บ้าน " ใช่หรือไม่ ...หากว่าใช่ เหตุใดที่นี่จึงไม่มีกระทั่งความเห็นใจกัน เหตุใดจึงมีแต่การพูดซ้ำเติมเพื่อทำลายเช่นนี้ ...
            "เดือนมาหาพ่อกับแม่วันนี้ แค่จะบอกว่าเดือนจะไปต่างจังหวัดหลายวัน ...เผื่อว่าพ่อกับแม่จะให้เดือนทำอะไร จะได้รู้ว่าเดือนไม่อยู่..." เสียงเดือนส่องสั่นเครือ "เดือนจะกลับละ"
            หล่อนพนมมือไหว้..
            พ่อยังคงเมินหน้าหนี ไม่ยอมสบตาหล่อน แม่ก็กระแทกช้อนส้อมลงกับจานข้าว เดือนส่องคิดว่าไม่ควรมาในวันนี้เลยจริงๆ มันทำให้หล่อนหมดแรงลงไป นี่หากว่าบิดามารดารู้เรื่องว่าหล่อนลาออกจากงานแล้วอีกต่างหาก อะไรๆมันจะเลวร้ายขนาดไหนกันนะ?

            เดือนส่องขับรถออกมา หล่อนขับรถเลยเส้นทางที่จะกลับบ้านพักของตัวเองไปไกล คิดไม่ออกว่าจะไปไหน รู้แต่ว่าอยากจะหนีไปให้ไกลๆ อยากอยู่เงียบๆ หรือไม่ก็อยู่กับใครก็ได้สักคนที่เข้าใจจิตใจหล่อนบ้าง
            หล่อนหยุดรถข้างทาง แหงนขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน เป็นเพราะว่าแสงจันทร์คืนนี้บดบังแสงของดวงดาวไปเสียหมด หรือเป็นเพราะว่าดวงตาหล่อนพราวไปด้วยหยดน้ำกันแน่ จึงเห็นเพียงดวงดาวแสงริบหรี่ กระจายประปรายกลางผืนฟ้าดำมืด
            ....หล่อนซบหน้าลงกับพวงมาลัย
            อ่อนล้า และ วังเวงเหลือใจ...
            ยามที่มองไม่เห็นใคร กลับมีภาพเงาของธงไทลอยซ้อนเข้ามาในความคิด หล่อนไม่รู้ว่าจะนึกถึงเขาในแบบไหนดี อย่างน้อย, เดือนส่องตระหนักเสมอว่าเขามักเป็นคนสุดท้ายที่หล่อนจะนึกถึงเสมอ แต่เขากลับเป็นคนแรกที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือ สนับสนุนหล่อนทุกอย่างตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าใจว่าเดือนส่องกำลังคิดอะไร หรือต้องการอะไรอย่างแท้จริงก็ตาม
            ชีวิตเป็นเรื่องยากหรือง่ายกันแน่เล่า? หล่อนถามตัวเองในใจ
            การแต่งงานระหว่างหล่อนและธงไทเกิดขึ้นเพราะธงไทร้องขอ ส่วนเดือนส่องเองก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม หล่อนคิดว่าการแต่งงานเป็นเพียงบันไดขั้นถัดมาของความรัก เหมือนที่คนเรารับปริญญาบัตรหลังจากจบการศึกษา หรือเหมือนเมือบทเพลงสิ้นสุดในการแสดงคอนเสริทจบด้วยเสียงปรบมือ ณ วันนั้นเดือนส่องไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมากมาย หล่อนคิดว่าหล่อนคงรักธงไทอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะคบหากันในฐานะคนรักมาเนิ่นนานเพียงพอ ทั้งอายุตลอดจนความพร้อมทางฐานะ จึงไม่มีเหตุผลใดควรปฏิเสธธงไทอีกต่อไป
            จากข้างต้น ย่อมแสดงว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องยากอะไร จงปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น แต่พอมาถึงวันหนึ่งที่ทุกอย่างไม่สามารถจะดำเนินต่อไป มีทางเลือกเพียงสองทางว่าจงเดินต่อไปอย่างมีความหวังว่าธงไทจะเปลี่ยนแปลง หรือจะเดินหนทางใหม่ที่จะมีแต่ตัวหล่อนเพียงลำพัง เมื่อเลือกจะทำอย่างข้อหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็พังครืนลงมาราวกับฟ้าถล่ม ชีวิตกลายเป็นเรื่องยากและบาดใจขึ้นมาทันที...
            ธงไทก็คงจะเสียใจไม่ต่างกัน ที่ชีวิตสมรสกลายเป็นอย่างนี้...
            ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไร เดือนส่องนึกเป็นห่วง เมื่อวันก่อนเขาโทรหาหล่อนที่ทำงาน หล่อนก็พูดไม่ดีต่อเขา ทั้งทีไม่ควรจะทำให้ความรู้สึกของเขาแย่ลงไปกว่านี้ แต่เดือนส่องก็ได้แค่รู้สึกผิดเล็กน้อยเท่านั้น
            ดึกมากแล้ว ไม่รู้หล่อนนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานแค่ไหน รถราบนถนนบางตาลงกว่าตอนแรก นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาห้าทุ่มเศษ เดือนส่องวกรถกลับทางเก่า มุ่งตรงไปบ้านพักของหล่อนเองในที่สุด...

    เขียนโดย :
    sea_view@hotmail.com


: แสดงความคิดเห็น

ชื่อ/email:
ความคิดเห็น:


Thanks,You are visitors number since 08/04/2001